ส่งภาพชิ้นที่ต้องการ สั่งซื้อที่ LINE @swanic ได้เลย🛒🤍
คำถามที่พบบ่อย
สูตรเคมี (Chemical Formula): องค์ประกอบทางเคมีของแร่ แสดงด้วยสัญลักษณ์ธาตุและตัวเลข ซึ่งบอกชนิดและอัตราส่วนของอะตอมในแร่
ความแข็ง (Hardness): ความสามารถของแร่ในการต้านทานการขีดข่วน วัดโดย Mohs Hardness Scale (ตั้งแต่ 1-10)
ระบบผลึก (Crystal System): รูปแบบการจัดเรียงอะตอมในแร่ ซึ่งมี 7 ระบบหลัก ได้แก่ cubic, tetragonal, hexagonal, trigonal, orthorhombic, monoclinic, และ triclinic
ประกาย/ความแวววาว (Luster): ลักษณะที่แร่สะท้อนแสง แยกเป็น แบบโลหะ, กึ่งโลหะ และไม่ใช่แบบโลหะ (แก้ว, ไข่มุก, ด้าน ฯลฯ)
สี (Color): สีที่มองเห็นได้ของแร่ ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามธาตุที่เข้าไปเจือปน
ความโปร่งแสง (Transparency): ความสามารถของแร่ในการให้แสงผ่าน
แนวแตกเรียบ (Cleavage): วิธีที่แร่แตกเป็นระนาบเรียบตามโครงสร้างภายใน
การเกิดของแร่ (Formation): กระบวนการเกิดของแร่ในธรรมชาติ โดยอาจเกิดจากการเย็นตัวของหินหนืด การระเหยของน้ำ หรือแรงดันจากแปรสัณฐาน เป็นต้น
ความแข็ง (ความต้านทานต่อการขีดข่วน) หมายถึง ความสามารถของแร่ในการต้านทานต่อการขีดข่วน ไม่ใช่ความเปราะหรือความง่ายในการแตกหัก คุณสมบัตินี้ถูกกำหนดโดย ความแข็งแรงของพันธะระหว่างอะตอมในโครงสร้างผลึกของแร่
ตารางความแข็งของโมห์ส (Mohs Hardness Scale) พัฒนาโดย Friedrich Mohs ในปี 1812 ตารางนี้จัดอันดับ 10 แร่ที่พบได้บ่อย จากอ่อนที่สุด (1) ไปถึงแข็งที่สุด (10) โดยแร่ที่มีค่าความแข็งสูงกว่าสามารถขีดข่วนแร่ที่มีค่าต่ำกว่าได้
ปัจจัยที่มีผลต่อความแข็ง
โครงสร้างอะตอม พันธะที่แข็งแรง = แร่ที่แข็งขึ้น เช่น เพชร (พันธะโควาเลนต์) เป็นแร่ที่แข็งที่สุด, ทัลก์ (พันธะวานเดอร์วาลส์ที่อ่อนแอ) เป็นแร่ที่อ่อนที่สุด
สิ่งเจือปน (Impurities) แร่บางชนิดอาจดูแข็งหรืออ่อนขึ้นหากมี ธาตุแปลกปลอมอยู่ในโครงสร้าง
การผุพังและการเปลี่ยนแปลงทางเคมี แร่สามารถอ่อนตัวลง เมื่อถูกน้ำ อากาศ หรืออุณหภูมิเปลี่ยนแปลงเป็นเวลานาน
ความแตกต่างระหว่างความแข็งกับคุณสมบัติอื่น ๆ
ความแข็ง (Hardness) = ความต้านทานต่อการขีดข่วน เช่น ควอตซ์ (7) ขีดข่วนกระจกได้
การแตกตัวแนวเรียบ (Cleavage) = การแตกตัวของแร่ตามแนวระนาบที่กำหนด เช่น ไมกาแตกเป็นแผ่นบาง
การแตกแบบไม่เรียบ (Fracture) = การแตกตัวแบบไม่เป็นแนวระนาบ เช่น ควอตซ์แตกเหมือนกระจก
ความเหนียว (Toughness) = ความทนทานต่อแรงกระแทกหรือการแตก เช่น เพชรแข็งแต่สามารถแตกได้
ประกายความแวววาว (Luster) หมายถึง ลักษณะการสะท้อนแสงของผิวแร่ ซึ่งช่วยกำหนดว่าแร่จะดูแวววาวเหมือนโลหะ ใสเหมือนแก้ว หรือหมองด้าน โดยความเป็นประกายนั้นจะไม่เกี่ยวข้องกับสี แร่สองชนิดอาจมีสีเดียวกันแต่มีความวาวต่างกันได้
ประเภทหลักของประกายความแวววาว
1. ประกายแบบโลหะ (Metallic Luster) เงางามและสะท้อนแสงคล้ายโลหะ ตัวอย่างเช่น
ทองคำ (Gold, Au) – เงาสีทองสดใส
ไพไรต์ (Pyrite, FeS₂) – เรียกว่า “ทองคนโง่” เพราะมีสีเหลืองทองและประกายแบบโลหะ
กาลีนา (Galena, PbS) – มีประกายสีเทาคล้ายตะกั่ว
2. ประกายกึ่งโลหะ (Submetallic Luster) มีความมันวาวน้อยกว่าประกายแบบโลหะ ตัวอย่างเช่น
แมกนีไทต์ (Magnetite, Fe₃O₄) – ดูคล้ายโลหะแต่มีความหมองเล็กน้อย
สฟาเลอไรต์ (Sphalerite, ZnS) – มีความวาวระหว่างโลหะกับเรซิน
3. ประกายไม่เหมือนโลหะ (Non-Metallic Luster) แร่ในกลุ่มนี้ ไม่ดูเหมือนโลหะ และมีประกายที่แตกต่างหลากหลายมากขึ้น
แนวแตกเรียบ (Cleavage) หมายถึง ลักษณะการแตกของแร่ตามแนวระนาบที่เป็นจุดอ่อนในโครงสร้างอะตอมของเขา โดยแนวแตกของแร่มักจะมีผิวแตกที่เรียบและเป็นระเบียบ ไม่ใช่แตกแบบสุ่ม แนวแตกเหล่านี้ถูกกำหนดโดยการจัดเรียงของอะตอมภายในแร่ไว้แล้วค่ะ
ประเภทของแนวแตกเรียบ
แร่แต่ละชนิดมีแนวแตกที่แตกต่างกัน โดยสามารถจำแนกตามจำนวนทิศทางและมุมระหว่างแนวแตก
1. แนวแตกสมบูรณ์แบบ (Perfect Cleavage) แตกตัวเป็นแนวระนาบเรียบเสมอ
ตัวอย่าง: แร่ไมกา (Muscovite & Biotite) → แตกเป็นแผ่นบางได้ง่ายเนื่องจากมีแนวแตกเพียงทิศทางเดียว
2. แนวแตกดี (Good Cleavage) แตกเป็นแนวระนาบเรียบเป็นส่วนใหญ่ แต่อาจมีบางส่วนแตกไม่เป็นระเบียบ
ตัวอย่าง: แร่เฟลด์สปาร์ (Feldspar) → มีแนวแตกสองทิศทาง ตั้งฉากกันเกือบ 90°
3. แนวแตกไม่ชัดเจนหรือไม่มีแนวแตก (Poor or Indistinct Cleavage) แตกแบบขรุขระ ไม่เป็นแนวระนาบที่ชัดเจน
ตัวอย่าง: แร่อะพาไทต์ (Apatite) → อาจมีแนวแตกบ้างแต่โดยรวมแล้วมักจะแตกแบบไม่เป็นระเบียบ
แนวแตก vs. การแตก (Fracture)
หากแร่ไม่มีแนวแตกที่แน่นอน และแตกตัวแบบไม่เป็นระเบียบ จะเรียกว่ามี การแตกแบบร้าว (Fracture) แทน
แนวแตก (Cleavage)
แตกเป็นระนาบเรียบและสม่ำเสมอ
ควบคุมโดยโครงสร้างอะตอม
ตัวอย่าง: ไมกา (เป็นแผ่น), แฮไลต์ (เป็นก้อนลูกบาศก์)
การแตก (Fracture)
แตกแบบขรุขระหรือเป็นเส้นโค้ง
ไม่มีแนวที่เปราะบางที่แน่นอนในโครงสร้าง
ตัวอย่าง: ควอตซ์ (แตกเป็นรูปโค้งคล้ายเปลือกหอย)